เทศน์เช้า

ยาแก้ตาย

๑๗ พ.ค. ๒๕๔๓

 

ยาแก้ตาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นเจ้าของศาสนา ฟังสิ ทำไมเราเป็นเจ้าของศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิศาสนาต่าง ๆ ได้ เราจะนิพพาน” เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาทั้งทะเบียนบ้านด้วย ทั้งหลักความจริงด้วย ฉะนั้นศาสนาเป็นของเรา

แล้วเขาเชื่อถือศาสนาเรา เราจะภูมิใจกันขนาดไหน ศาสนาของเราเขาเชิดชูขึ้นมา ว่าวันนี้วันสำคัญแห่งโลก วันสำคัญจริง ๆ อันนั้นเป็นการเชิดชูกัน คนเชิดชูใคร? มนุษย์ปุถุชนเป็นบุคคลสามัญ เชิดชูศาสนาเขาก็เชิดชูศาสนาแบบของเขา แต่การเชิดชูศาสนาแบบของผู้ที่เข้าถึงธรรม เห็นไหม เชิดชูศาสนา ศาสนานี้เป็นยาแก้โรค แก้ความตายไง ในมหาราช ในจักรพรรดิ ในโบราณต่าง ๆ พยายามหายาที่จะชำระความตาย หาไม่ได้ หาอย่างไรก็หาไม่เจอ หาไปเถอะ หาไม่เจอ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในศาสนาพุทธ เพราะเขาเข้าไม่ถึงยาแก้ตายไง

ยาในศาสนาพุทธนี่ ธรรมโอสถนี้แก้ถึงการตายได้นะ ทุกคนเกิดมาดีใจในการเกิด แต่กลัวในการตาย แล้วจะหายาแก้ แต่ยานี่หากันไม่เจอ แต่มันเจอในพุทธศาสนา เจอตอนไหน เจอด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ นั่นน่ะเจอแล้ว เพราะอะไร? เพราะนั้นไม่มีการตาย ไม่มีการตายนะ จะอยู่แบบโลกมนุษย์ก็ได้ เห็นไหม “อานนท์ เราบอกเธอมาแล้วถึง ๑๖ ครั้งใช่ไหม ให้เธอนิมนต์ไว้ ถ้าเธอนิมนต์จะอยู่อีก ๑ กัปก็อยู่ได้ จะอยู่อีกกี่ปีก็อยู่ได้” ถ้าภิกษุผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว มีอิทธิบาท ๔ จะปรารถนาอยู่เท่าไรก็ปรารถนาได้

แต่ทำไมครูบาอาจารย์ไม่ทำตรงนี้ล่ะ? ปล่อยไว้ตามความเป็นจริงไง ถ้ามีเหตุการณ์เช่น จำเป็นจริง ๆ ก็ดึงไว้ เห็นไหม นี่บอกด้วยว่ายาแก้โรค แก้ตายไง แก้ตายว่าจะอยู่หลักของโลกที่ว่าไม่ตายก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วตรงนี้มันเป็นแค่โลกเห็นใช่ไหม แค่ที่ว่ามนุษย์ปุถุชนยกย่องศาสนาก็ยกย่องศาสนาที่เขามองเห็น แต่หลักธรรมที่เขาเข้าไม่ถึงน่ะ ผู้ที่เข้าถึงธรรมกราบพระพุทธเจ้าแบบสนิทใจเพราะตรงนี้ไง เพราะว่าเข้าถึงธรรมแล้วมันไม่ตายตรงที่ถึงธรรมนั่นน่ะ สิ่งที่เป็นที่ตายนั้นไม่มี

เราจะไป เราจะเริ่มเดินทางไปนี่ เราต้องอาศัยเสบียงอาหารเดินทางไปใช่ไหม ใจที่มีเสบียงมีอาหาร เดินทางอยู่ ยังมีเสบียงอยู่ ยังมีเชื้อยางอยู่ ยังมีกรรมอยู่ ใจนั้นต้องขับเคลื่อนไปตลอดเวลา กับถึงที่สุดแล้วพลังงานที่ไม่มีขับเคลื่อนน่ะ ทำสิ่งที่ว่าเสบียงอาหาร หรือเสบียงเดินทางหมดเลย เดินทางไปไม่ได้ แต่จิตนั้นมีอยู่ อย่างนี้มันไม่ตายนี่ เห็นไหม แล้วอย่างนี้มันมีอยู่ด้วย

ใจที่มีอยู่ แต่ที่ไม่ตายเพราะไม่มีเสบียง ไม่มียางเหนียว ไม่มีกิเลส ไม่มีกรรม ไม่มีสิ่งใด ๆ อยู่ในนั้นเลย มันถึงว่าตัวใจนั้นไม่เคยตาย พอตัวใจนั้นไม่เคยตาย สิ่งที่ต้นเหตุใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ใจที่หมุนเวียนไปในโลก เวลาเราเกิดเราตาย จิตปฏิสนธินี่เวียนตายเวียนเกิดไป เกิดเป็นเราก็เป็นเรา เกิดเป็นเทวดาก็ใจดวงนี้ไปเป็น แต่เป็นเทวดาไปไม่ใช่เรา แต่เป็นอีกภพหนึ่ง ๆ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่จิตดวงเรานี่ไปเป็น แต่ตัวสัตว์ที่เป็นสัตว์เดรัจฉานกับเราคนละอัน เพราะต่างกาลต่างเวลา อันนี้เวียนตายเวียนเกิดอยู่

นี่ใจเวียนตายเวียนเกิดอยู่ แล้วไปชำระการเวียนตายเวียนเกิดอยู่ นี่ชำระตาย เห็นไหม ยาแก้ตาย นี้ยาแก้ตายนี่เป็นยาแก้ตาย แต่ปุถุชนนี้อ่านได้แค่ฉลากของยาไง ขนาดอ่านได้ฉลากของยา คุณวิเศษของยานี้ก็ทึ่งกันนะ ต้องทึ่ง ต้องเคารพ สัจจะความจริงแค่เราเห็น กำจัดอารมณ์ของเราได้ อริยสัจอันเดียวนี่

ในลัทธิต่าง ๆ เขาก็ต้องยอมรับในอริยสัจอันนี้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหตุ มีผลก่อน ทุกคนจับผลแล้วสาวไปหาเหตุ สาวไปหาเหตุแล้วมันดับที่เหตุนั้น เหตุดับด้วยอะไร? ด้วยวิธีการ อริยสัจนี่สำคัญมากเลย สำคัญจนที่ว่าในฉลากของยาเราจับได้ แต่ใจที่กลั่นออกมาจากอริยสัจนี้คือคุณภาพของยา คือตัวของยา คือเนื้อของยา แล้วต้องเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตนด้วย มันมหัศจรรย์ขนาดนั้น

ศาสนาพุทธนี้มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ถึงขนาดว่า มีแผนที่ดำเนินก็เดินผิด มีฉลากยาอยู่ อ่านแต่ฉลากยาก็เป็นปริยัติ แต่ถ้าไม่อ่านฉลากยา ไม่มีแผนที่ดำเนินเลย จะดำเนินได้อย่างไร อันนั้นถึงบอกว่า เขาคนที่ยกย่องนั้น ขนาดปุถุชนยังยกย่องได้ขนาดนั้น เราเทียบมาเพื่อเป็นศูนย์ใจสิ เราเป็นเจ้าของศาสนา เขายกย่องศาสนาเรา เราควรภูมิใจมาก แต่ภูมิใจแล้วไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่ ภูมิใจแล้วเราต้องเข้าให้ถึงเนื้อของศาสนาของเราด้วย

วันนี้วันวิสาขบูชา เป็นวันเริ่มต้นของศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้วันนี้ พอตรัสรู้นี่เข้าถึงธรรมวันนี้ ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม มีอยู่ดั้งเดิมเพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ตรัสรู้ปรินิพพานไปแล้ว แล้วไม่มีใครสามารถชี้นำได้ ชี้บอกได้ เพราะมันละเอียดอ่อน จนในใจเราเราก็ไม่สามารถจะเข้ารู้ได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเข้ารู้ธรรมอันนี้ได้ แม้แต่มีแผนที่ดำเนินอยู่ เราก็ยังเดินผิดอยู่ แล้วย้อนกลับไปถึงสมัยที่ไม่มีศาสนา ไม่มีศาสนามันมีลัทธิต่าง ๆ แต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ มีศาสนาหมายถึงว่ามีพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วจนขนาดที่ว่าแทบจะไม่อยากจะสอน ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเพื่อจะสอนโลก มันลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น

แต่มันอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น ปิดไว้อย่างนั้น อาจารย์มหาบัวถึงบอกว่า “การก้าวเดินของใจ” ใจนี่มหัศจรรย์มาก ใจนี้จะก้าวเดินไปนี่ มันจะก้าวเดินไปด้วยวิธีการใด มันถึงว่ามันก้าวเดินไปแล้วแต่อำนาจวาสนาบารมีของแต่ละหัวใจด้วย แต่ละหัวใจที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ถ้ามันสร้างสมบารมีมามาก มันจะขวนขวายออกไปถึงที่สุดได้ ถ้ามันสร้างสมบารมีมาน้อย มันก็ศรัทธาแค่ที่ศรัทธาแล้วหาทางเป็นเครื่องอยู่ ศรัทธาแค่หาเสบียงอาหารไง เสบียงอาหารให้ใจนี้อยู่เย็นเป็นสุข กับศรัทธาที่ว่าจะละทิ้งบุญและบาปออกไปทั้งหมด

นี่อำนาจวาสนาบารมี จิตถึงว่าต่างกัน ความเข้าถึงธรรมก็ต้องต่างกัน เห็นไหม ความศรัทธา เริ่มต้นของการศรัทธาศาสนา เรามันควรภูมิใจว่า เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราอยู่ในศาสนาของเรานี่ เราศึกษาศาสนาของเรา แต่พอคนมายกย่อง คนมาสรรเสริญของเรา เราควรจะขวนขวายให้มากไปกว่าเขาไง ให้เข้าถึงสัจจะความจริง เขาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เขายังเคารพศรัทธา เราศึกษาเราประพฤติปฏิบัติอยู่ด้วย ทำไมเราจะเข้าถึงไม่ได้ เราต้องเข้าถึงได้ เข้าถึงได้นี่มันเป็นการดัดตนไง

การดัดตน การทรมานกิเลสคือการทรมานตน การดัดตน ดัดใจของตน ดัดใจของตนคือดัดกิเลสของตน กิเลสมันอยู่ที่ใจ ใจนี้สัมผัสไปด้วยกิเลสทั้งหมด กิเลสนี้มันเป็นยางเหนียวพาให้เกิด พอเกิดขึ้นมาแล้วก็พอใจในความคิดของตัวเอง เวลาไปศึกษาศาสนามันถึงเอาความพอใจนี้บวกเข้าไปด้วย ความพอใจความคิดของตัวเอง เริ่มต้นก็บอกเลยว่า ศาสนาประพฤติปฏิบัติต้องมัชฌิมาปฏิปทาตามความเห็นของเรา แต่ผู้ที่จะปฏิบัติเข้มแข็งไปกว่าเรา อันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค เห็นไหม

นี่เอาความพอใจของตัวเข้าไปวัดไง แต่ไม่ได้คิดเลยว่าคนเราจริตนิสัยมีร้อยแปด กิเลสของคนก็มีต่างกัน ความจะเข้าถึงธรรมก็ต้องเข้าถึงต่างกัน แต่เข้าถึงธรรมอันเดียวกัน เพราะหัวใจอยู่ที่กลางหน้าอกเหมือนกันนะ หน้าอกของเรานี่ ทุก ๆ คนหัวใจอยู่ที่กลางหน้าอก เข้าถึงใจ ใจดวงนั้น ลึกตื้นหนาบางอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจทั้งหมด ลึกขนาดไหนก็อยู่ที่ใจ แต่ใจเวลาทำสมาธิธรรมนี่ ความลึกของใจ เวลาทำสมาธิ เวลามันวูบลง เห็นไหม มันวูบลงนะ ถ้าจิตที่คึกคะนองนี่มันวูบ ๆๆๆ มันดิ่งลงลึกมาก ๆ เหมือนกับเราตกจากที่สูง ตกจากโลกนี้ออกไปในอวกาศเลย

นี่เวลาเทียบถึงความลึกของใจ มันลึกขนาดนั้นนะ เวลาจิตทำสมาธินี่ มันจะวูบ ๆ ๆ เข้าไป แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่หน้าอกของเรา มันไม่ลึกขนาดไหนหรอก มันลึกอยู่ที่กลางหน้าอกของเรา แต่อาการของใจนี่มันพิสดารมหัศจรรย์ มันไหลไปตลอด มันจะควงสว่านไปขนาดไหน มันจะลงขนาดไหน แต่ถ้าจิตบางบุคคลนะ มันจะสงบไปเฉย ๆ ปล่อยจาง ๆ ไป ปล่อยจางไปเฉย ๆ

นี่ขนาดเข้าถ้ำไป เห็นไหม อาจารย์มหาบัวบอกว่า “เสืออยู่ในถ้ำ” เราเลาะกิเลสมาเรื่อย ๆ จน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานี่มันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ เราต้องเข้าไปในถ้ำนั้นถึงจะเห็นตัวเสือนั้น ต้องเข้าถ้ำนั้น เห็นไหม ถ้าเราไม่เข้าถ้ำนั้น เราตามเสือนั้นเข้าไป คือจนเราละกิเลสเข้ามาเป็นชั้น ๆ เข้าไป เสร็จแล้วพอกิเลสมันเข้าไปในถ้ำ เราก็ไปนอนอยู่หน้าถ้ำนั้น เราไปนอนอยู่หน้าถ้ำนะ ทำความสงบเข้าไป ๆ เข้าไปถึงหน้าถ้ำนั้น แล้วก็ไปนอนให้อวิชชามันหลอก หลอกอยู่หน้าถ้ำนั้นไง หลอกคือว่าอันนี้เป็นตัวตนแล้ว อันนี้ถึงที่แล้ว อันนี้ขอให้นอนหลับสบาย ๆ เถิด

นี่เวลามันวูบเข้าไปมันลึกซึ้งขนาดนั้น ลึกซึ้งเข้าไปนี่มันก็ยังตื่นเต้น พอตื่นเต้นเข้าไปแล้ว ก็ยังเข้าไปโดนอวิชชาหลอกอีก อวิชชาคือความเคยใจของเรา ในศาสนานี่ธรรมนี้ประเสริฐมาก แต่โดนปิดกั้นด้วยอวิชชา โดนอวิชชานี่บังไว้ด้วยอวิชชาไง อวิชชาบังไม่ให้เราเห็นธรรม อวิชชาเป็นใคร? อวิชชามันเป็นความเคยใจ อวิชชามันเป็นยางเหนียว มันเป็นสิ่งที่มันจะมักมากอยากใหญ่ แต่อยากใหญ่ในความเห็นของมันนะ

ความอยากนี่ อยากเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ ดูอย่างอาจารย์ว่า เห็นไหม “เงินบาทนึง” ถ้าเรายึดว่าเงินบาทนึงเป็นของเรา เงินบาทเดียวมีค่าเท่ากับห้าล้านสิบล้านเพราะอะไร? เพราะความยึดมั่นถือมั่นมีค่า แต่เงินบาทเดียวก็คือเงินบาทเดียวนั้น เงินบาทเดียวคือเงินบาทเดียว อยู่กับใครก็บาทเดียว แต่ถ้าอยู่กับคนที่ว่าเขาสละออกไป เขาสละได้ แต่คนที่ไม่สละออกไป ความยึดมั่นในเงินบาทนั้น ค่าของมันมีเท่าห้าล้านสิบล้าน เพราะความยึดมั่นถือมั่นมันรุนแรงมาก ความยึดมั่นถือมั่นรุนแรง มันก็เที่ยวมากลับว่า กิเลสเวลามันยึดเข้ามานี่มันยึดขนาดนั้น ความเป็นของเล็กน้อย ความเคยใจของเล็กน้อย ความสะดวกสบายนี่มันก็ยึดความสะดวกสบายของตัว ความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งยึดมากมันก็มีค่ามาก ความมีค่ามากนี่มันยึดมาก

ถึงว่าตัณหาความทะยานอยากมันวนเข้ามา มันใหญ่มันใหญ่อย่างนั้น มันใหญ่กับความเห็นของเรา มันใหญ่กับความยึดมั่นถือมั่นของเรา มันใหญ่กับความปกครองให้เราอยู่ในอำนาจของมัน มันใหญ่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่ามันใหญ่ออกไปข้างนอก มันไม่ใหญ่หรอก ค่าของเงินบาทเดียวมันจะใหญ่ไปขนาดไหน แต่ความยึดมั่นถือมั่นมันใหญ่จริง ๆ มันใหญ่จนเราสามารถเป็นต้องยอมแพ้ ยอมแพ้คือความคิด ความจะเดินหน้าต่อไปเป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นกิเลสที่มันบังธรรมไว้

แต่ถ้าเราลองเริ่มทำสมาธิเข้ามา ความสงบเข้ามา ๆ ความสงบอันนี้มันจะเห็นว่าคุณค่าไง คุณค่าของใจนี่ เราไปสัมผัสธรรม เห็นไหม เหมือนกับเรามีภาชนะ ถ้ามีภาชนะเราจะตักตวงอะไรในภาชนะนั้นได้ ถ้าไม่มีภาชนะ สิ่งที่เราจะตักตวงนั้นมันหก เราตักตวงไว้ไม่ได้ ใจเข้าไปประสบกับธรรม ประสบกับสมาธิธรรม จิตมีความสงบขึ้นมา นั่นน่ะมันมีคุณค่าขึ้นมาไง พอมีคุณค่าขึ้นมามันจะแบ่งแยกได้ ถึงต้องทำศีล สมาธิ ปัญญา ทำสมาธิขึ้นมาเพื่อให้ใจนี่มันแบ่งแยกว่า สิ่งนั้นมีคุณค่ากับเราจริงไหม

นี่สติมันเริ่มกลับมาคิดไง ถ้ามีคุณค่ากับเราก็มีคุณค่าชั่วคราว มีคุณค่ากับเราแค่ในปัจจุบันนี้ แต่บุญกุศลเป็นเสบียงตามจิตไป จิตมันตายเกิด ๆ เพราะพอเห็นสมาธิ เห็นการดับ การอะไรนี่ มันจะเข้าใจ มันจะเข้าใจส่วนหนึ่งว่า อ๋อ...ใจนี่มันหมุนเวียนตายเวียนเกิด นี่ยาแก้ตายมันแก้ตรงนี้ เห็นเลยว่า เห็นการตายการเกิด เห็นยาที่จะมาแก้ แต่ถ้ายังไม่เห็น อยู่ไปนี่ มันพยายามจะแก้กันที่ว่า ไม่ให้ร่างกายนี้ตายไง ไม่ให้ร่างกายนี้ตายจากภพชาตินี้ มันจะให้อยู่กับมันนาน ๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้

ไออุ่น เห็นไหม ดูสิดูครูบาอาจารย์สิ อายุ ๗๐-๘๐ เหมือนอายุ ๔๐-๕๐ เพราะอะไร? เพราะหัวใจนั้นมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ พอมีธรรมเป็นเครื่องอยู่มันไม่เผาผลาญร่างกายนี้ไม่ให้มันเผาไหม้ไปโดยมาก แต่ปุถุชนของเรานี่ อายุนิดหน่อย อายุ ๔๐-๕๐ อายุเหมือนคน ๖๐-๗๐ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ร่างกายมากเกินไป เราใช้ความเผาไหม้ ความเครียดไง ความเครียด ความวิตกกังวลนี่เผาไหม้ร่างกาย ร่างกายเสียไป

ถ้าใจเราสงบ ใจเราสดชื่นขึ้นมา ร่างกายจะอยู่ ๑ กัปก็อยู่ได้ แต่เราไปดูกันที่ร่างกายนี่ จะไม่ให้ตาย จะอยู่นาน ๆ ไป เขาหายากันมาแต่สมัยไหน หายาที่ไม่ตาย แต่หาไม่เจอ กลับมาหาที่หัวใจนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจอก่อน เจอก่อนออกมาแล้ว ถึงว่าท่านเจอแล้ว ท่านประสบด้วย ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ถึงเอามาเผยแผ่ ถึงว่าวางธรรมไว้ วางธรรมให้พวกเราก้าวเดินตามเข้าไป

ถ้าเราก้าวเดินตามเข้าไป นั้นสุดยอดของศาสนาคือนิพพาน คือดับแล้วไม่มีเชื้อให้เกิดอีก การดับที่ไม่เกิดอีก ไม่ใช่ดับเวลาตายนะ ดับกิเลสในหัวใจ ขณะที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาน่ะ ดับตรงนั้นแล้วไม่ตายอีก แล้วพอดับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เห็นไหม ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็ตรัสรู้วันนี้ไง อีก ๔๕ ปีนั้น พระพุทธเจ้าไม่มีเกิดและไม่มีตายในหัวใจดวงนั้น จะอยู่อีก ๑ กัปก็อยู่ได้ แต่พระอานนท์โดนมารบังตาไว้ ไม่ได้อาราธนาให้อยู่ต่อไป ถึงวันนี้ก็ต้องปรินิพพานไป ปรินิพพานไปคือสลัดร่างกายนี้ทิ้งไว้ให้กลับเป็นของเก่า ธาตุ ๔ นี้กลับให้เป็นคงเดิม คือว่าภพสภาวะอันนี้ จิตนี้เป็นมนุษย์อยู่ อยู่ในสภาวะของภพมนุษย์ อยู่ในสภาวะของเทวดา เป็นภพของเทวดา อยู่ในสภาวะใดเป็นภพของสภาวะนั้น แต่จิตสลัดคืนออกหมดเลย

ใน ๓ แดนโลกธาตุนี้เป็นวัฏวน เป็นที่อยู่ของจิตที่เวียนว่ายตายเกิดนั้น จิตสละคืนออกไปทั้งหมด ไม่เกิดไม่ตายในสภาวะใน ๓ โลกธาตุที่หมุนเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น อันนั้นอนุปาทิเสสนิพพาน จิตนี้ไปอยู่กับนิพพานที่ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก สละคืนอันนั้นถึงว่า เวลาไม่ตายคือว่าจิตนั้นดับ จิตนั้นหมดจากกิเลสทั้งหมด ไม่มีเกิดและไม่มีตาย

แต่ในเมื่อมีสภาวะสอุปาทิเสสนิพพานอยู่ คือมีร่างกายอยู่ มีร่างกายอยู่นี้มันกดถ่วงอยู่ เป็นไปไม่ได้ต้องสละคืน ก็ต้องสละออกไป สละเพราะมันเป็นสมมุติไง สมมุติเรื่องของร่างกายนี่ มันสมมุติอยู่กับโลกธาตุเขา มันสมมุติของโลกนี้ คือเหมือนกับเสื้อผ้านี่มันเป็นเสื้อผ้า เราจะดัดแปลงเสื้อเป็นกางเกงขึ้นมานี่ เราต้องแก้ไขใช่ไหม อันนี้มันเป็นสภาวะของเสื้อ เป็นสภาวะของกางเกง มันคนละสภาวะกัน สภาวะของร่างกายนี่มันเป็นสภาวะของภพอันนี้ไง มันจะติดไปด้วยไม่ได้ มันต้องสละคืนกับภพอันนี้

ถึงว่าตายเฉพาะสมมุติเฉย ๆ แต่หัวใจนั้นไม่มีตาย แก้แล้วไม่มีตาย ถึงคำว่าวันนี้วันปรินิพพาน คือวันที่ดับขันธ์ออกไปหรือตายออกไปนั้น ก็เป็นตายในที่ว่าเราเห็นด้วยตาเนื้อ แต่หัวใจนั้นไม่มีเกิดไม่มีตายตั้งแต่ปรินิพพานมาอันนั้นแล้ว เพียงแต่มันสลัดออกไปเฉย ๆ ถึงไม่มีการหวั่นไหวไง

ตั้งแต่เช้า เห็นไหม ไปฉันอาหารของนายจุนทะ แล้วก็ฉันอาหารเสร็จแล้วยังบอกว่า อาหารนี่มันเป็นอาหารที่ว่าย่อยยาก ไม่ควรให้พระองค์อื่นฉัน คนเราจะตายอยู่นะ ทำไมยังห่วงลูกศิษย์ เห็นไหม

แล้วยังเดินไปนี่ คนเราจะตาย เดินไปตายด้วยองอาจกล้าหาญ แล้วไปถึงคืนนั้นน่ะ สุภัททะเข้ามาถาม คนเรากำลังใกล้สิ้นสุดวาระสุดท้ายแล้วนะ “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ในศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลหรอก” ให้พระอานนท์บวชให้ ยังสำเร็จ ได้บวชสุภัททะ เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำประโยชน์กับโลกขนาดนั้น

นี่คนที่ว่าไม่มีเกิดไม่มีตาย ไม่มีความคิด ไม่มีความหวั่นไหวในหัวใจ จะเข้าเผชิญกับความตายด้วยความองอาจกล้าหาญ เพราะความตายนี้ไม่มี มันเข้าใจตั้งแต่กิเลสสิ้นแล้วว่า ไม่มีเกิดและไม่มีตาย ใจนี้องอาจกล้าหาญมาก นั่นน่ะยาแก้โรคตายไง นี่โลกหากัน คนไม่อยากตาย แต่ถ้ากลับมาตรงนี้ กลับมาเชื่อ กลับมาค้นคว้ากันที่ใจแล้วจะแก้ได้หมด แล้วพระพุทธเจ้าวางไว้แล้ว

นี่ประเสริฐขนาดนั้นนะ ปุถุชนนี่เขายกย่องได้แต่ทฤษฎี คำสั่งสอนในหลักศาสนาพุทธนี่เยี่ยม เป็นวันสำคัญของโลก แต่ครูบาอาจารย์น่ะเคารพถึงหัวใจ เคารพถึงสถานะภายใน นี่เราชาวพุทธ เราต้องเข้าถึงเนื้อของธรรม เขาเคารพกัน เขาเคารพกันภายนอก แล้วเราไม่ไปตื่นกับเขา เราก็รับรู้ของเขา เราก็ต้องภูมิใจว่า ของเราของจริง ในศาสนานี้เยี่ยมที่สุด ศาสนาที่ประเสริฐ ประเสริฐที่สุด แล้วเราเข้าถึงธรรมของเราด้วย เราได้ประโยชน์ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เขามายกย่องให้เราค้นคว้าของเรา เขามายกย่องให้เราตื่นตัวขึ้นมา เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่หลงไปให้กิเลสมันบังเอาไว้ อันนี้ถึงเป็นประโยชน์กับเราด้วย เอวัง